อาการปวดเป็นปัญหาทางการแพทย์ที่พบได้บ่อย โดยอาการปวดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ อาการปวดเฉียบพลันและอาการปวดเรื้อรัง อาการปวดเฉียบพลันมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรง ในขณะที่อาการปวดเรื้อรังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจคงอยู่เป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี
อาการปวดรุนแรงเป็นอาการปวดที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยาแก้ปวดชนิดอื่น ๆ โดยทั่วไปจะวัดจากระดับความเจ็บปวดที่ 7 หรือสูงกว่า 10 บนมาตราส่วนความเจ็บปวด 1-10
การฉีดมอร์ฟินเป็นวิธีการบรรเทาอาการปวดรุนแรงที่มีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยมอร์ฟินเป็นยาในกลุ่มโอปิออยด์ (opioid) ออกฤทธิ์โดยจับกับตัวรับโอปิออยด์ในสมองและไขสันหลัง ทำให้ลดความรู้สึกเจ็บปวด
ประโยชน์ของการฉีดมอร์ฟิน
การฉีดมอร์ฟินมีประโยชน์ในการบรรเทาอาการปวดรุนแรงจากโรคต่าง ๆ เช่น
- โรคมะเร็ง
- โรคหัวใจขาดเลือด
- โรคไตวายเรื้อรัง
- อาการปวดหลังผ่าตัด
- อาการปวดจากบาดแผล
นอกจากนี้ มอร์ฟินยังสามารถใช้เป็นยาแก้ไอ (antitussive) ในกรณีไออย่างรุนแรง และแก้ท้องร่วงเรื้อรังได้อีกด้วย
วิธีใช้มอร์ฟิน
มอร์ฟินสามารถฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ กล้ามเนื้อ หรือใต้ผิวหนัง ขึ้นอยู่กับอาการปวดและความเหมาะสมของผู้ป่วย โดยแพทย์จะเป็นผู้กำหนดขนาดยาและวิธีการฉีดที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วย
ผลข้างเคียงของมอร์ฟิน
การฉีดมอร์ฟินอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ง่วงซึม
- ท้องผูก
- ความดันโลหิตต่ำ
- หายใจลำบาก
- ซึมเศร้า
- อาจเกิดอาการเสพติดได้หากใช้เป็นเวลานานหรือในปริมาณมาก
ข้อควรระวังในการฉีดมอร์ฟิน
ผู้ป่วยที่ควรระมัดระวังในการฉีดมอร์ฟิน ได้แก่
- ผู้ป่วยที่มีภาวะตับหรือไตวาย
- ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว
- ผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า
- ผู้ป่วยที่มีประวัติเสพติดยาเสพติด
ตัวอย่างการใช้มอร์ฟิน
- กรณีอาการปวดหลังผ่าตัด
แพทย์อาจให้มอร์ฟินฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือกล้ามเนื้อ ในช่วงหลังผ่าตัดทันที เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการปวดได้อย่างรวดเร็ว และลดการใช้ยาแก้ปวดชนิดอื่น ๆ ในระยะยาว
- กรณีอาการปวดจากโรคมะเร็ง
แพทย์อาจให้มอร์ฟินฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือใต้ผิวหนัง อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาอาการปวดที่รุนแรงและเรื้อรัง
- กรณีอาการปวดระหว่างการคลอด
แพทย์อาจให้มอร์ฟินฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อหรือใต้ผิวหนัง เพื่อบรรเทาอาการปวดและช่วยให้การคลอดเป็นไปได้อย่างราบรื่น
การฉีดมอร์ฟินเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดรุนแรง อย่างไรก็ตาม ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์จากการรักษาสูงสุดและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น